วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ซื้อแล้วรวย

"เจริญโอสถฯ"เขย่าขายตรงอีก
ฉีกมิติร้อนหนุนผู้นำก้าวสู่ความเป็นหนึ่ง

"เจริญโอสถฯ" รุกขายตรงหนัก ผู้นำต่างทะลักเข้าร่วมธุรกิจเพียบ หลัง "จอยมาร์ท" ขายตรงสะดวกซื้อ เริ่มออกฤทธิ์พิชิตความเหนือชั้นกว่าคู่แข่ง เหตุมีสินค้าขายทุกอย่าง แถมสินค้าในระบบอีกเกือบ 100 รายการ "สมชาย" เผยนโยบาย ผู้นำทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่จะได้รับเกียรติสูงสุด และมีบทบาทสำคัญเหมือนกับที่เขาเคยได้รับจากบริษัทเดิมยังไงยังงั้น เพราะที่นี่คือ "เวที" ของคุณ โชว์ความพร้อมด้วยการพัฒนาเทคโนโยลีที่ทันสมัย เติมเต็มการทำงานให้สมาชิกมีประสิทธิภาพ เพื่อก้าวไปสู่ความร่ำรวยสมบูรณ์แบบ

นับตั้งแต่ "บริษัท เจริญโอสถฯ" ได้ปรับโครงสร้างการบริหารภายในได้ลงตัว ด้วยการชู "จอยมาร์ท" ควงคู่ไปกับขายตรงสะดวกซื้อจนเป็นผลสำเร็จ ทำให้บริษัทขายตรง 4-5 ค่าย ต่างก็จับตามองความเคลื่อนไหวอย่างไม่กระพริบ

และมีบางบริษัทเริ่มเดินตามรูปแบบดังกล่าว เนื่องจากเกิดความเชื่อมั่นว่า นี่คือ วิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ธุรกิจขายตรงเกิดความยั่งยืนถาวรตลอดไป ถือเป็นช่องทางที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในกลุ่มค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อซึ่งปัจจุบันมีมูลค่านับล้านล้านบาท ให้หันมาทำธุรกิจเครือข่ายเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับตัวเอง

ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกๆ ที่ บริษัท เจริญโอสถฯ" ได้ปล่อยหมัดเด็ดออกไป ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า แผนรบในรูปแบบ "ขายตรงสะดวกซื้อ" คงไม่สำเร็จ เนื่องจากไม่สามารถที่จะไปแข่งขันกับเซ่เว่นฯ และมินิมาร์ททั่วๆ ไปได้

ปี'53มุ่งขยับ "จอยมาร์ท"
พุ่งทะยานสู่ 500 สาขา

แรกๆ "สมชาย หัชลีฬหา" ประธานกรรมการ ก็ชักจะวิตกเหมือนกัน แต่เมื่อได้เปิดสาขาอย่างบ้าคลั่งเกือบ 30 แห่งภายใน 1 ปีเศษๆ ปรากฏว่า พลิกความคาดหมาย สินค้าทุกรายการที่ร้านมินิมาร์ททั่วๆ ไปมี "จอยมาร์ท" ของเจริญโอสถฯ ก็มีหมด และที่เป็น "ไฮไลท์" สำคัญ ก็คือ การสะสมคะแนนให้กับสมาชิกเข้าระบบขายตรงเพื่อรับผลประโยชน์ต่อไป

"ผมไม่ได้มีสินค้าแค่ร้านสะดวกซื้อทั่วๆ ไปอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่จอยมาร์ทมีสินค้าที่มากกว่า นั่นคือ สินค้าที่อยู่ในระบบเครือข่ายอีกเกือบร้อยรายการ เพียงแต่จอยมาร์ทเป็นแหล่งกระจายสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้ใช้บริการซื้อง่ายขายคล่องเท่านั้นเอง เพราะแผนการของผมต้องการเปิดจอยมาร์ทให้ได้อย่างต่ำ 500 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2553 ซึ่งร้านจอยมาร์ทแต่ละแห่งจะมีรายได้จากการขายปลีกอยู่แล้ว เนื่องจากมีสินค้ากว่า 4,000 รายการ และสินค้าในระบบเครือข่ายอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้ก่อเกิดรายได้จากการบริหารศูนย์อีก นอกจากนี้ยังมีรายได้จากระบบ และอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อแนวทางธุรกิจของเจริญโอสถฯ มีข้อดีกว่ามินิมาร์ททั่วไป และมีข้อดีมากกว่าขายตรงทั่วๆ ไป 3-4 ช่องทาง ทั้งปัจจุบันและอนาคตผู้บริโภคย่อมจะมองเห็นความเหนือชั้นตรงนี้ออก และตัดสินใจเลือกที่จะร่วมธุรกิจกับเจริญโอสถฯ แบบไม่มีข้อสงสัย และภาคภูมิใจ"

ภาวะวิกฤติไม่ส่งผลกระทบ
"จอยมาร์ท"แน่นปั๋งยั่งยืนมั่นคง

อย่าลืมนะว่าเดี๋ยวนี้ขายตรงหลายๆ แห่งเริ่มสร้างความหวั่นไหว และไม่มั่นคงให้กับสมาชิก ผู้คนอยู่แบบขวัญผวา ไม่รู้บริษัทจะปิดตัวเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะเกิดอาฟเตอร์ช็อค หรือมีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรขึ้นเมื่อไหร่ อนาคตอันมั่นคงจะฝากไว้ที่ใครได้

เนื่องจากหลายๆ บริษัทไม่ได้สร้างความมั่นคงอย่างเป็นรูปธรรม แถมรูปแบบการดำเนินธุรกิจไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีความมั่นคงอะไร ยุคนี้แค่คำพูดเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถสร้างความเชื่อถือและการันตีถึงความมั่นคงได้ ที่สำคัญ ผู้นำมืออาชีพคงไม่มีใครอยากจะเสี่ยงเอาอนาคตไปแลก

นับตั้งแต่เปิดจอยมาร์ทขึ้นมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ปัจจุบันสมาชิกมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เจริญโอสถฯ มีความเหนือชั้นในเชิงการค้าทุกด้าน บริษัทฯ ได้สนับสนุนให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น ส่งผลให้ระดับผู้นำจากค่ายต่างๆ และสมาชิกเข้ามาร่วมกับบริษัทเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยิ่งภาวะวิกฤตผันผวน หลายบริษัทเกิดการปั่นป่วน ผู้คนก็เลยมองเห็นช่องทางที่ดีกว่าเลือกเจริญโอสถฯ เพื่อความมั่นคง

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของผมที่ว่า ผมไม่มีนโยบายไปรีครูทสมาชิกค่ายอื่น แต่ถ้าพวกเขานำสายงานเดินเข้ามาเพื่อแสวงหาความมั่นคงให้กับตนเอง และครอบครัว ผมก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ คนไทยเมื่อมีคนมาเยี่ยมถึงบ้านก็ต้องต้อนรับเป็นธรรมดา ผู้นำเหล่านั้นก็จะได้รับเกียรติ และมีบทบาทสำคัญเหมือนกับที่เขาเคยได้รับจากบริษัทเดิมยังไงยังงั้น

"เจริญโอสถฯ มีแผนที่จะเป็นมหาชนในอนาคต ฉะนั้น ย่อมเปิดกว้างสำหรับคนเครือข่ายทุกระดับชั้น เพราะที่นี่มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างผู้นำเพื่อให้ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งจนชั่วลูกชั่วหลาน วัดกันง่ายๆ จากที่เราเปิดสาขาในชื่อ "จอยมาร์ท" ผู้บริโภคเดินเข้าไปในร้าน เรามีของขายทุกอย่าง นี่ก็เพื่อรองรับการเติบโตแบบยั่งยืน และเป็นเครื่องการันตีที่สามารถจับต้องได้ บ่งชี้ให้เห็นเด่นชัดว่า เจริญโอสถฯ มีความมั่นคงที่สัมผัสได้จริงๆ ผมไม่ชอบขายฝันลมๆ แล้งๆ ผมชอบเอาของจริงมาโชว์ให้ทุกคนให้เห็นจะจะคาตา สิ่งนี้น่าจะเป็นคำตอบได้ดีที่สุด" นายสมชายกล่าว

นำสิ่งอำนวยสะดวกหนุน
แรงส่งสมาชิกทำงานง่าย

นายสมชายกล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ตั้งใจเสมอมาว่า เราจะเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง เมื่อสมาชิกเดินเข้ามาจะพบสินค้าหลากหลายที่สุด นี่คือจุดเริ่มต้นของความมั่นคง ที่สำคัญ สมาชิก ต้องก้าวให้ทันโลก เพราะโลกในปัจจุบันนี้ มันเป็นยุคของไอที ยุคแห่งการสื่อสาร ยุคแห่งการพัฒนาที่ต้องเอาเทคโนโลยีมาผสมผสาน และสามารถทำให้สมาชิกแข่งขันได้

ถ้าวันนี้เราไม่สามารถมีเครื่องมือต่อยอด ก็ไม่สามารถทำให้องค์กรมีชีวิต มีพลัง และมีเครื่องมือเพียงพอที่จะมาซัพพอร์ต องค์กรที่เราสร้างมาก็จะเสียประโยชน์เปล่า เหมือนกับเราสร้าง สร้าง สร้าง และก็ปล่อยให้มันตายไป ซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์

"เครื่องมือที่ผมคิด ก็คือ วันนี้ผมอยากสร้างเครื่องมือที่บอกว่า ทำให้เราเป็นที่ 1 เรื่องขายตรงสะดวกซื้อ และขายตรงสะดวกซื้อจะเป็นอาชีพที่มั่นคง ถ้านึกถึงขายตรงที่มั่นคงต้องนึกถึง "เจริญโอสถฯ" นั่นหมายความว่า วันนี้เราต้องมีร้านค้า ต้องมีสินค้า และต้องมีเทคโนโลยีในการเชื่อมต่อ วันนี้ผมได้สร้างทีมงานวิศวกรมืออาชีพเซ็ทขึ้นมาอย่างเต็มรูปแบบ 1 ทีม เพื่อสร้างระบบซอฟต์แวร์ที่เป็นของเราเอง เพื่อก้าวสู่มาตรฐานสากลให้สามารถใช้ได้ทั่วโลก"

โชว์ความพร้อมทุกด้าน
สร้างเรื่องยากให้ง่าย

เหตุผลที่สร้าง "จอยมาร์ท" เพื่อให้ทุกคนสามารถรวมเครือข่ายได้โดยง่าย โดยมีตัวซอฟต์แวร์เป็นการตอบคำถามที่มีการพูดกันมานานว่า วันหนึ่งจะเป็นขายตรงสะดวกซื้อที่ซื้ออะไรก็ได้ ซื้อที่ไหนก็ได้แล้วมีคะแนน โดยจะมีแผน ทวิน เน็ทเวิร์ค หรือ บาลานซ์ เลค ได้ทั้ง 2 แห่ง โปรแกรมนี้จะใช้ใน "จอยมาร์ท" ได้ทุกสาขาทั่วไทย สมาชิกสามารถชวนใครมาซื้ออะไรก็ได้ แล้วสามารถบันทึกคะแนนเป็น PV ไม่ว่าจะเป็น บาลานซ์ทีม แล้วแต่เลือกว่าจะเอาแผนไหนได้ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้มีคนบอกว่า คะแนนทำไมไม่มา มันมาเฉพาะทวิน เน็ทเวิร์ค หรือมาเฉพาะตอนสิ้นเดือน แต่เมื่อใช้โปรแกรมนี้ต่อไปคะแนนมันจะมาบ่อยขึ้น จากเริ่มต้นทุก 3 วัน คะแนนจะวิ่งขึ้นมาโชว์ ต่อไปนี้ใครจะซื้อ มาม่า สบู่ หรืออะไรก็แล้วแต่ใน "จอยมาร์ท" ถ้าลง PV ในบิลบาลานซ์ทีม อีก 3 วันทำการคะแนนก็จะวิ่งมาให้สมาชิกได้ดูกัน

ต่อไปถ้าระบบไม่มีปัญหาใดๆ จะส่งข้อมูลจากสาขาทั่วประเทศเข้าในบริษัทตรง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มากระทบ และจะพัฒนาไปสู่รายวัน ทำปุ๊บคะแนนก็โชว์เลยดาวไลน์ว่าซื้ออะไรข้างล่าง มีคะแนนมาเท่าไหร่ นั่นแสดงว่าขายตรงสะดวกซื้อที่แปลงรายจ่ายของผู้คนที่ซื้ออะไรก็ได้แล้วเป็นผลประโยชน์ของสมาชิก
"ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของโปรแกรม CRB คือ โปรแกรมที่จะตอบสนองในเรื่องของบัญชีที่จะทำให้ท่านเข้าใจว่า วันนี้จะไปฝากเงินเท่าไหร่ ต้องส่งยอดเท่าไหร่ ทุกอย่างที่ผมทำก็คือสร้างเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ที่ผมพูดอยู่นี่ทำง่ายแต่เรามี Commitment ว่า ทำง่าย ได้จริง มั่นคง ไบนารี่ฟังดูเหมือนทำง่ายแต่เวลาคนทำยาก ผมเลยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่ยากสำหรับที่นี่ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ทุกอย่างทำได้ เพียงแต่ให้มีความอดทนและใจเย็นสักนิด ทุกอย่างมันจะค่อยๆ เดินขึ้นและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง"นายสมชายกล่าว


อะไรคือกุญแจแห่งความสำเร็จในธุรกิจขายตรงอย่างยั่งยืน ...!

ผมเองในฐานะที่คร่ำหวอดในวงการขายตรงมานานกว่า 6 ปี อยากจะบอกว่าวันนี้การที่ผมได้ผ่านประสบการณ์อันมีค่ากับบริษัทที่ผมเป็นเจ้าของและบริหารงานมาเอง ในบริษัทเจริญโอสถฯ ซึ่งการผ่านเหตุการณ์และอุปสรรคที่ผ่านมาทำให้ผมมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง และทำให้ผมมองอะไรได้เฉียบคมมากขึ้น จึงอยากจะนำสิ่งดีๆ มาแนะนำให้ผู้อ่านได้ทราบ อาจเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย

ซึ่งในวันนี้ผมถือเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ถึงเรื่องราวและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสำเร็จในธุรกิจขายตรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานทำวิจัยเรื่องขายตรงโดยเฉพาะ จากสถาบัน AIT ระดับ Doctor ผม ดร.สมชาย หัชลีฬหา ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจธุรกิจขาย ตรงเท่าไรนัก ด้วยธุรกิจที่ผมเริ่มต้นในธุรกิจขายตรงคือ บริษัทเจริญโอสถ มีการใช้ระบบและใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายทางขายตรง จากประสบการณ์ และการทำวิจัยที่ผ่านมา ทำให้ผมเข้าใจว่า พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันในขายตรงนั้น มีความแตกต่างและละเอียดอ่อนกว่าผู้บริโภคโดยทั่วไป

วันนี้ความรู้ที่ผมจะให้กับผู้อ่านทุกท่านซึ่งผมถือว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและผู้จำหน่ายอิสระนั่นก็คือ "อะไรเป็นกุญแจ แห่งความสำเร็จในธุรกิจขายตรงที่จะประสบ ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน" ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญทำให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงพฤติกรรมและการตัดสินใจของผู้บริโภคในธุรกิจขายตรง และที่หลายคนสงสัยว่าธุรกิจขายตรงนั้นดีอย่างไร และแตกต่างอย่างไรกับธุรกิจทั่วไป หรือที่หลายท่านรู้จักในช่องทาง Modern trade อาทิ การจัดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ที่มี out let เพื่อจัดจำหน่ายสินค้า ของตนเอง แต่ช่องทางขายตรงนั้นมีความแตกต่างตรงที่เป็นการจัดจำหน่ายโดยอาศัยผู้จำหน่ายอิสระ ที่เป็นผู้สร้างระบบเครือข่าย อาศัยการบอกต่อของสมาชิกที่เข้ามาเป็นเครือ ข่ายให้ไปบอกต่อ และสามารถทำให้คนที่ถูกบอกต่อนั้นได้ตัดสินใจมาซื้อสินค้าและเข้ามาเป็นสมาชิกในเครือข่าย

ปัญหาของธุรกิจขายตรงในการบอกต่อนั้นก็คือ วิธีการบอกต่ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพ บอกต่ออย่างไรให้ตัดสินใจ ข้อสำคัญบอกต่อแล้วทำให้คนนั้นรู้สึกว่า เป็นอนาคตและความหวังที่จะบอกต่อตลอดไปให้เครือข่ายนั้นเติบโตยิ่งขึ้น และมีความมั่นคงตลอดไป ถ้าทุกคนได้คิดอย่างนี้และได้ทำอย่างนี้

ผมเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาทำธุรกิจ ขายตรงก็สำเร็จได้ แต่ในองค์ประกอบนั้นไม่ได้มีแค่การบอกต่ออย่างเดียว ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งมีสาระสำคัญที่จะทำให้ผู้คนที่เข้ามานั้น ตัดสินใจง่ายและเชื่อในการนำเสนอในการบอกต่อของผู้ที่แนะนำว่าสิ่งที่ผู้แนะนำนั้น เป็นไปได้จริง สามารถทำให้ผู้ที่รับฟังเข้ารับฟังและตัดสินใจทำอย่างทุ่มเทด้วยแรงกาย แรงใจ

การทำธุรกิจขายตรงนั้นจะต้องอาศัยการตลาดเป็นหลัก ซึ่งวันนี้จะกล่าวถึง “Mar-keting Mix” คือส่วนผสมทางการตลาด ที่นักการตลาดนำมาใช้และวิเคราะห์ว่าจะทำการ ตลาดให้ประสบความสำเร็จอย่างไร แล้วมีองค์ ประกอบอะไรบ้าง ถึงจะประสบความสำเร็จในธุรกิจหรืออาชีพนั้นๆ

ซึ่งปัจจุบันนี้การตลาดได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ถ้าจะสำเร็จคงต้องมีเครื่องมือมาเสริมมาก มาย ผมจึงอยากจะนำเสนอ แนวความคิดที่นักการตลาดในปัจจุบันน่าจะได้ลองพิจารณารูปแบบของส่วนผสมการตลาดแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า “New Marketing Mix” ผมเชื่อว่าจะมีความสอดคล้องที่จะสามารถใช้ขยายผลหรือแม้แต่การใช้แผนการตลาดแบบเดิมนั้นอาจไม่เพียงพอ

ซึ่งการตลาดแบบเดิมคือ 4P’s แต่สิ่งที่ผมอยากนำเสนอเพิ่มเติม คือ 4C’s ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ทางการตลาด แต่หากใช้การตลาดแบบเดิมจะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จได้มากนัก ดังนั้นการนำมาผสมผสานกันซึ่งจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ซึ่ง 4P’s ได้แก่

1. Product,

2. Price

3.Place

4.Promotion คือการตลาดแบบเก่า

แต่จะนำมาต่อยอดกับการ ตลาดแบบใหม่คือ 4C’s ได้แก่

1.Customer need, Cost to customer

2.Convenience

3.Communication

แต่ละ C นั้นจะมีส่วนเกี่ยว ข้องกับแต่ละ P ซึ่งจะผสมผสานกันอย่างลงตัว ดังตัวอย่างด้านล่างนี้

เราจะมาขยายความให้มีความเข้าใจมาก ขึ้นในแง่การตลาด ของส่วนผสมทางการตลาด แบบใหม่เริ่มที่

C ตัวแรก Customer need หรือ Product วันนี้อยากให้มองถึงการผลิตสินค้าสัก 1 รายการ ต้องมองถึงความต้องการของลูกค้า เป็นหลัก หากจะนำสินค้ามาจำหน่าย สินค้านั้นเป็นที่ต้องการหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าทำให้สินค้านั้นเกิดเป็น Demand ได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะแค่ลูกค้าต้องการสินค้าแต่ไม่มีความจำเป็น ก็อาจไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยคุณภาพ คุณประโยชน์ของการใช้สินค้า และมีจุดเด่นด้านความต้องการมากกว่าสินค้าในท้องตลาดก็สามารถจะเพิ่มความต้องการของลูกค้าได้สูงขึ้น เมื่อนั้นสินค้าก็จะขายได้

Cost to customer หรือ Price นั้นปัจจุบันลูกค้ามักจะกังวลและพิจารณากับราคา เป็นหลักเพื่อตัดสินใจที่จะซื้อสินค้า ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าเรามีคู่แข่งทางการตลาดมาก ในขณะ ที่สินค้าถ้าหากเราสามารถผลิตควบคุมต้นทุนที่ต่ำป้อนสู่ตลาดได้ คือการทำให้ลูกค้าพึงพอใจในราคาสินค้าต่อสิ่งที่ได้รับ หรือจะพูดว่าสิ่งที่ลูกค้าต้องการนั้นคือคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเมื่อเทียบกับราคาว่าเหมาะสมกันหรือไม่ หรือมูลค่าของเงินที่จ่ายไปคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มาหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มค่าลูกค้าก็ไม่ตัดสินใจ

จะเห็นว่าการตลาดยุคใหม่จะให้ความสำคัญด้านต้นทุนทางการตลาดพร้อมกับคุณภาพสินค้าเป็นอย่างมาก จึงจะทำให้อยู่เหนือคู่แข่งได้

Convenience หรือ Place ถ้าเทียบในยุคปัจจุบัน ในการเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าแต่ละครั้งนั้นจะต้องมาจาก Location เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันแพงขึ้น เดินทางไม่สะดวก ความเร่งรีบและการจำกัดเรื่องของเวลา จะเห็นว่า convenience store เกิดขึ้นมากมายเพราะการตอบสนองความต้องการลูกค้า

แต่ปัญหาของธุรกิจขายตรงนั้นคือการขยายสาขาหรือ out let มากๆ นั้นอาจจะต้องมีต้นทุน จึงอาจไม่สามารถทำไปพร้อมกันได้ แต่ถ้าเราสามารถนำเทคโนโลยีมาช่วยได้ เช่น E-Business or E-commerce เมื่อสิ่งเหล่านี้อำนวยความสะดวกได้ ให้มีเครื่องมือทันสมัยในการเพิ่มช่องทางการขยายงานได้จำนวนมาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจในการทำธุรกิจ และทำให้ธุรกิจง่ายมากขึ้น

Communication หรือ Promotion การที่จะโปรโมทหรือนำเสนอเพื่อให้ลูกค้าได้รับรู้เรื่องราวของบริษัท ส่วนใหญ่บริษัทจะใช้การโฆษณา ประเด็นสำคัญคือจะโฆษณาอย่างไร หรือการสื่อสารแบบไหนที่จะให้ลูกค้าได้เข้าใจและสามารถนำเสนอสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อว่าสินค้าและบริการของบริษัทนั้นๆ เป็นที่ยอมรับดังนั้นรูปแบบการโฆษณาจึงต้องอาศัยการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ที่จะสื่อและให้การบริการนั้นเข้าถึงลูกค้า

ปัจจุบันธุรกิจขายตรงที่ทำกันอยู่ส่วนมากจะเน้นเรื่องการสื่อสารของสมาชิกสู่สมาชิก แต่ถ้าไม่มีเครื่องมือช่วย การสื่อสารถือเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เพราะปัญหาคือการนำเสนอที่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจถึงคุณค่าสิ่งที่ต้อง การและได้มาคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป ทุกธุรกิจจะต้องมองเรื่องการสื่อสารเป็นหลักซึ่งมีหลายช่องทาง เช่น

PC to PC (การสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ กับคอมพิวเตอร์)Voice to Voice (การสื่อสารทางเสียง)

ในขณะที่ Face to Face เป็นการนำเสนอโดยใช้การไปพบปะและมีการพูดคุยถึงสิ่งที่จะนำเสนอ

ถ้าบริษัทใดมี Software หรือเทคโนโลยี ที่สามารถทำให้การสื่อสารระหว่างสมาชิกสู่สมาชิก หรือสมาชิกสู่บริษัทให้สามารถเชื่อมโยงกันได้และเข้าถึงซึ่งกันและกันได้ก็จะยิ่งทำให้การบอกต่อในธุรกิจขายตรง สามารถสร้างฐานลูกค้าได้ง่ายขึ้น และเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ต้นทุนต่ำลง

ซึ่งผมอยากเน้นย้ำเรื่องนี้ เพราะเป็นช่องทางที่ได้ผลและเป็นช่องทางหลักในธุรกิจขายตรง เป็นที่มาของการนำเสนอ ที่มาของบริษัท สินค้า ตลอดจนการบริการ แม้แต่ Promotion ต่างๆ ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าการสื่อสารก่อให้เกิดความเชื่อมั่น การใช้เครื่องมือสื่อสารทำให้บริษัทขยายผลต่อยอดธุรกิจได้ไม่ยาก

สำหรับทั้ง 4 C’s นั้น ผมอยากนำเสนอในแง่การตลาดขายตรง ถ้าหลายคนเข้าใจอย่างถ่องแท้ และรู้วิธีการ และการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จากแนวความคิดใหม่ของ 4 C’s หากนำไปใช้จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่เรื่องของ 4 C’s ยังไม่จบเพียงแค่นี้ ฉบับหน้าผมจะมาขยายผลในเรื่องดังกล่าวต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านอย่างมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น